อุทยานแห่งชาติเมาท์คุก (Mount Cook National Park) มีภูเขาที่สูงที่สุดใน New Zealand ที่เป็นชื่อเดียวกันกับชื่ออุทยาน มีความสูง 3,724 เมตร และสูงเป็นอันดับที่ 37 ชาวเมารีเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “เอารังกิ (Aoraki)” ที่แปลว่า ภูเขาที่สูงเสียดฟ้า การเดินทางของเราในวันนี้จะเป็นเส้นทางที่เริ่มเดินทางกลับมุ่งหน้าสู่เมือง Christchurch โดยเส้นทางของเราในวันนี้จะผ่านจุดใหญ่ ๆ ที่เราแวะเที่ยวกันอีก 2 ที่คือ เมือง ArrowTown เมืองแห่งใบไม้เปลี่ยนสี และ Lindis Pass Viewpoint เนินทุ่งหญ้าที่เป็นเหมือนจุดแวะพักระหว่างทางที่มีวิวที่สวยจนไม่อาจขับผ่านไปเฉย ๆ ได้
(ข้อแนะนำ : รีวิวนี้มีรูปประกอบหลายรูป เนื้อหาค่อนข้างยาว ต่ออินเตอร์เน็ทแบบ WiFi และดูผ่านคอมพิวเตอร์จะดีที่สุด / ทริปในรีวิว เป็นลักษณะทริปถ่ายรูป สถานที่และเวลา อาจจะไม่เหมาะกับทริปเที่ยวทั่วไป แต่สามารถใช้เป็น Guideline ได้)
Good morning Autumn town
วันนี้เราออกจาก Queenstown กันตั้งแต่เช้า เพราะเส้นทางที่เราจะไปในวันนี้ค่อนข้างไกลพอสมควร ประมาณ 200 km. กว่า ๆ และระหว่างทางก็มีที่แวะหลายจุดอยู่ด้วย เราไปประเดิมที่แรกกันที่ Arrowtown ตั้งใจว่าจะมาถ่ายรูปซ่อมตรง Police Camp แบบไม่มีรถจอดเหมือนรอบที่แล้ว พอมาถึงก็แอบดีใจ ไม่มีรถจอดขวาง เลยรีบจอดรถรีบลงมากำลังจะถ่าย พอยกกล้องจะถ่ายเท่านั้นแหล่ะ ก็มีรถคันนึง แล่นมาแล้วก็จอดอยู่ข้างหน้าเราเลย (อยากจะตบกบาลคนขับซัก 3 ที)
สุดท้ายเราก็ไม่ได้รูปอย่างที่ต้องการเท่าไหร่ แต่ก็เก็บมุมเท่าที่จะทำได้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาที่นางแบบถูกใจไว้ก่อน
เมือง ArrowTown เป็นเหมือนเมืองทางผ่านที่ตอนแรกเราได้แวะก่อนเข้าไป Queenstown แต่เมืองนี้มีเสน่ห์ตรงที่ร้านค้าภายในเมือง มี Theme ที่ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินในการเดินเที่ยว ให้กลิ่นอายของเมืองเก่า ที่ทำให้พวกเราตั้งใจจะแวะอีกครั้งในขากลับ
และก็เรียกว่าโชคดีก็ว่าได้ ที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ยิ่งตัดกับท้องฟ้าที่มีสีฟ้าสดใส ทำให้การเดินเที่ยวภายในเมืองวันนี้สนุกขึ้นอีกมาก
ถึงแม้เมืองนี้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวก็ตาม แต่ในตอนเช้าแบบนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะเป็นคนที่มาพักที่เมืองนี้ และคนที่แวะมาช่วงเช้าแบบเรา ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่แนะนำให้มาเที่ยว เพราะคุณจะได้สัมผัสธรรมชาติที่สวยงามของเมืองนี้แบบไม่พลุกพล่าน วุ่นวาย
เราเดินเที่ยวในเมืองก็จริง แต่ก็มีจุดหมายที่เราเล็งเอาไว้ว่าจะไปถ่ายรูปกัน โดยระยะทางที่ใช้ไม่ไกลเกินไปนัก ทำให้เราเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ผ่านบ้านของผู้คนในเมืองนี้ ทำให้เราได้เห็นว่า แม้แต่ในเส้นทางเล็ก ๆ ที่เราเดินนี้ ก็มีมุมสวย ๆ ที่ทำให้เราประทับใจกับ ฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองนี้จริง ๆ
เราได้เห็นต้นไม้ที่กำลังผลัดใบ แตกต่างกันตามพันธุ์ไม้ บางต้นยังเขียวอยู่ แต่ก็จะแซมไปด้วยสีแดงและสีเหลืองของพันธุ์อื่น และด้วยความที่ยังเป็นต้นฤดู ทำให้ใบยังไม่ร่วงมากนัก เป็นช่วงเวลาที่เก็บภาพได้แบบเพลิน ๆ ถ่ายกันแบบไม่เบื่อกันเลย
จุดหมายที่เราเล็งเอาไว้ มีชื่อว่า “Wilcox Green” ถ้ามองตามสภาพทั่วไป ก็จะเหมือนสวนกว้าง ๆ ที่มีภูเขาเป็นฉากหลังเท่านั้น
แต่ภาพที่เราเคยเห็นคนถ่ายเอาไว้คือ ที่ทิวเขาด้านหลังนี้ จะเป็นเหมือนการสวนสนามของเหล่าต้นไม้ที่กำลังผลัดใบเปลี่ยนสี ที่แตกต่างกันตามสายพันธุ์ เต็มทั่วภูเขาเลยทีเดียว และจะเห็นผู้คนหรือนักท่องเที่ยวมานั่งชมอารมณ์เหมือนปิคนิคในสวนกันเต็มไปหมด
ช่วงเวลาที่เหมาะกว่านี้ก็คงจะหลังจากวันที่เราไปอีกประมาณ 2-3 วัน ที่จะทำให้ภูเขาทั่วทั้งบริเวณนี้ เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีทั้งหมด แต่ถึงพวกเราจะมาเร็วไปนิด แต่ก็ยังพอได้เก็บเกี่ยวความสวยงามของบรรยากาศเอาไว้ ที่สำคัญ มีแค่พวกเราเท่านั้น…รู้สึก Exclusive ยังไงก็ไม่รู้
ในขณะที่พวกเรากำลังถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันอยู่ ก็เริ่มสังเกตเห็นว่า พระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นยอดเขา สาดแสงลงมาที่สนามหญ้าด้านล่าง และสิ่งที่พวกเราคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น…. ไอหมอกเริ่มก่อตัวเพราะความอบอุ่นของพระอาทิตย์กระทบไอน้ำที่ยอดหญ้า ทำให้เหมือนมีใครมาเปิด Dry Ice ที่สนามหญ้ากันเลย ซึ่งเราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ เพราะยังไม่เคยเห็นภาพของที่นี่แบบนี้มาก่อน
ก็แอบเสียดายนิดหน่อยที่หลังจากที่เราถ่ายรูปตรงนี้กันเรียบร้อย ก็ต้องออกเดินทางกันต่อ พวกเราคิดกันไว้ว่า เมืองนี้เป็นอีกเมืองนึงที่อยากจะมาพักแบบชิล ๆ เหมือนกับ Te Anau ที่เราเพิ่มผ่านมา เพราะบรรยากาศโดยรอบมันค่อย ๆ เพิ่มเสน่ห์ขึ้นเรื่อย ๆ เหมาะมากที่จะรวมตัวกับก๊วนเพื่อนดื่มด่ำความรู้สึกแบบนี้ด้วยกันสักคืน
Next “Lindis Pass Viewpoint”
จุดแวะพักที่เราจะไปอันต่อไปมีชื่อว่า Lindis Pass อยู่ในเส้นทางหลวงหมายเลข 8 โดยเราจะผ่านเมือง Cromwell ที่เราเคยผ่านมาตอนแรกด้วย ดูจากแผนที่แล้ว ก็เกือบอยู่กึ่งกลางระหว่างเส้นทางจาก ArrowTown ไปถึง Twizel เมืองสุดท้ายก่อนเข้าสู่พื้นที่ด้านใน Mount Cook
วันนี้เราเดินทางกันค่อนข้างตลอด ไม่ค่อยได้แวะถ่ายรูปน้องแกะตามฟาร์มเท่าไหร่ (ไม่ใช่เบื่อนะ แต่ต้องทำเวลา) และก็เพิ่งจะมีรูปนี้แหล่ะ ที่เก็บภาพเมฆยาวสีขาว สมชื่อ Aotearoa ตามภาษาเมารี
เราเดินทางจาก ArrowTown มาที่ Lindis pass viewpoint ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชม. (แวะข้างทางถ่ายวิวรอบ ๆ บ้างเล็กน้อย) โดยเราจะรู้สึกได้ว่า เข้าเขตของหุบเขาตรงนี้ได้เอง เพราะวิวข้าง ๆ ทางจะเปลี่ยนจากไร่ ฟาร์ม หรือทุ่งหญ้าข้างทาง เปลี่ยนเป็นเส้นทางภายในหุบเขา เป็นที่ราบเรียบที่มีหญ้าสีเหลืองทองเป็นทุ่งกว้าง
จุดชมวิวตรงนี้หาไม่ยากครับ เพราะนักท่องเที่ยวจอดรถกันเป็นแถวยาว และมีพื้นที่จอดรถให้จอดเป็นเวิ้งใหญ่ เพราะตรงจุดนี้จะมีเทรลให้เดิน Tracking อีกด้วย
ตอนที่เราไปถึงสักพัก ก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ (อาจจะเป็นชาติเดียวกับเจ้าของประเทศก็ได้ เราซิต่างชาติ) ก็มาจอดรถถ่ายรูปกัน เหลือบไปเห็นเป็นผู้หญิง 3 คน ท่าทางทะมัดทะแมงมาก อุปกรณ์ก็ดูแล้วโปรฯ มาก ท่าทางการถ่ายก็ไม่ธรรมดา ตำแหน่งก็กำลังดี เลยขอยกกล้องถ่ายเก็บสักใบ ทางเค้าก็ยกถ่ายเหมือนกัน ต่างฝ่ายก็ต่างเก็บภาพกันไป ก็หวังว่าเค้าอาจจะมีโอกาสเห็นรูปเค้าจากบทความของเราสักครั้งนะ
ถ้าจำไม่ผิด ช่วงเวลาที่เราเดินทางไปถึง น่าจะประมาณบ่าย 2 โมง ซึ่ง กลายเป็นช่วงเวลาที่ฟ้าสวย แม้แสงอาทิตย์จะส่องมาเยื้องไปข้างหน้าเราพอสมควร ประเทศนี้ยอมรับอยู่อย่างนึงว่า ถ้าบทฟ้าจะสวย มันก็สวยทั้งวันจริง ๆ และวันนั้นจะเป็นวันที่ถ่ายรูปได้เยอะมาก
เราใช้เวลาอยู่ที่จุดนี้ประมาณ 1 ชม. เก็บภาพ เก็บบรรยากาศ ถ่ายรูปเท่าที่ระยะทางพอที่จะอำนวย จริง ๆ ที่นี่น่าจะเป็นเทรลที่เดินได้สะดวก และถ่ายรูปจากด้านบนสวยไม่ใช่น้อย ถือว่าเป็นเวลาที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไปสำหรับจุดแวะพักตรงนี้
High Country Salmon
มาถึง New Zealand แล้วถ้ายังไม่ได้กินปลาแซลมอน อาจจะเรียกว่ามาไม่ถึง
ก็เลยเป็นจุดหมายของเราที่เราจะมาจัดมื้อกลางวันแบบเบา ๆ กัน ที่ฟาร์มปลาแซลมอน High Country Salmon ระหว่างทางก่อนเข้าไปที่ Mount Cook เดินทางจากจุดชมวิว Lindis pass viewpoint ประมาณเกือบ 60 กม. หรือประมาณ 40 นาที
ที่ฟาร์มแห่งนี้ เป็น 1 ใน 2 ฟาร์มที่ค่อนข้างขึ้นชื่อในละแวกนี้ ถึงจะเป็นฟาร์มที่เหมือนบ่อเลี้ยง แต่ก็เลี้ยงจากแหล่งน้ำธรรมชาติของที่นี่ โดยจะมีขายทั้งแบบเป็นวัตถุดิบพร้อมที่จะเอาไปปรุงต่อ และแบบที่สดใหม่พร้อมทานที่นี่ได้เลย

ปลาแซลมอนพร้อมเอาไปปรุงต่อ
มีกิจกรรมเล็กน้อยให้ได้ทำ อย่างการให้อาหารปลาแซลมอน เป็นอาหารเม็ด ที่เราสามารถโยนไปที่บ่อที่ฟาร์มเตรียมเอาไว้ให้ ภาพที่เราคิดคือ ปลาแซลมอนขึ้นมากินอาหารและเราก็เก็บภาพตอนที่ปลากินอาหารเอาไว้แบบสวย ๆ
แต่ในความเป็นจริงนั้น โยนเท่าไหร่ก็ไม่ได้ภาพหรอก กิน (แดก) โคตรไว โฉบอาหารแบบไม่ทันให้กดภาพได้ทันเลย ทำไมไม่เลียนแบบปลาสวายบ้านเราบ้างนะ

ภาพที่คิดว่าชัดสุดเท่าที่ถ่ายได้แล้ว….
หลังจากให้อาหารปลากันเสร็จแล้ว ก็เข้าไปสั่งปลาแซลมอนซาชิมิ มาทางกัน ทางร้านมีโชยุกับวาซาบิให้พร้อม ความสดคงไม่ต้องพูดถึง เรียกว่าสดมาก เพราะเอามาใส่ตู้แช่แบบใหม่ ๆ กันเลย ส่วนรสชาติก็ดีครับ เนื้อเด้งสู้ฟันใช้ได้เลย เนื้อแน่น ไม่เละ ไม่ต้องถึงกับเป็นเนื้อส่วนท้องก็มีความมันของเนื้ออยู่มากอยู่
หลังจากที่เรากินกันเสร็จ ก็ซื้อเป็นเสบียงเอาไว้ไปกินกันเย็นนี้อีกนิดหน่อย เพราะแผนของเราคือ หลังจากเข้าไปที่ด้านใน Mount Cook แล้ว จะเข้าไปเดินเทรลที่ Hooker Valley เพื่อเข้าไปถ่ายรูปด้านใน อาจจะต้องกินมื้อเย็นกันด้านในเลยด้วยซ้ำ
Welcome to Mount Cook
จากฟาร์มปลาแซลมอน เราก็แวะซื้อของกันเล็กน้อยที่เมือง Twizel และถ้าจำเป็นต้องเติมน้ำมันรถก็เติมให้เรียบร้อย เพราะด้านในจะไม่มีปั๊มน้ำมันให้บริการ
วิ่งไปไม่นาน แค่ประมาณ 20 นาที ก็ถึงจุดแรกที่เป็นเหมือนประตูเข้าสู่ Mount Cook ที่หลาย ๆ คนต้องแวะถ่ายรูปกันก่อน “Peter’s Lookout” ที่จุดนี้เป็นเหมือนลานให้จอดรถได้หลายคัน และมีห้องน้ำให้บริการอีกด้วย หลาย ๆ คนที่มาเที่ยวใน Mount Cook มักจะไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปกันตรงนี้ เพราะจะได้มุมที่เห็นตัว Mount Cook กับถนนที่วิ่งเข้าไปยังด้านใน
ที่ตรงนี้สามารถเดินลงไปที่ริมทะเลสาบ Pukaki ได้ ก็เสียดายอยู่อีกหน่อยที่วันนี้เราช้าไม่ได้ เพราะมีจุดหมายให้ไปต่อ
ถนนที่มุ่งสู่ Mount Cook จะมีอยู่เส้นเดียว คือทางหลวงหมายเลข 80 ยังไงก็ไม่หลง จะมีทางแยกก็เกือบถึงปลางทาง กว่าจะแยกไปยังเส้นทางอื่น ๆ ได้ ในบางช่วง ถ้าสังเกตดี ๆ จะเป็นถนนที่ได้มุมที่สวย และเป็นเส้นตรงไปยัง Mount Cook แต่ไม่มีลานจอดรถในบริเวณนี้ แต่พอจอดรถข้างทางได้ เราสามารถเดินลงไปถ่ายรูปได้
แต่คำแนะนำคือ ให้ใช้ความระวังอย่างสูง เพราะเป็นถนนที่รถสัญจรไปมาตลอด ไม่ถึงกับมาก แต่ก็ใช้ความเร็วพอสมควรอยู่ ตอนที่พวกเราถ่ายกัน ต้องผลัดกันดูรถกันทั้งคนถ่าย ทั้งตัวแบบกันเลยทีเดียว
เรามาถึงด้านใน ก็ไม่ถึงกับเย็นมากนัก แต่ก็สังเกตได้ว่า เริ่มมีเงาภูเขาแล้ว เพราะเทือกเขาแถวนี้เป็นเทือกเขาสูง ทำให้ถึงแม้จะไม่ใช่เวลาพระอาทิตย์ตกก็จริง แสงก็อาจจะหมดได้ง่าย ๆ
หลังจากจอดรถ พวกเราก็รีบเดินไปตามทางเส้น Hooker Valley เพิ่อเข้าไปด้านใน แต่ก็แอบใจเสียอยู่หน่อยนึง เพราะพวกเราเห็นป้ายบอกระหว่างทางว่า มีเส้นทางปิด ซึ่งเราก็รู้ข่าวมาจากเพื่อนของเราที่ล่วงหน้ามาก่อนพวกเราไม่กี่วันแล้ว แต่ก็ยังคิดอยู่ว่า ตอนเรามาถึงก็อาจจะพอเข้าไปได้แล้ว
ก่อนจะถึงสะพานแรก จะเจออนุสาวรีย์ของผู้ปีนเขา Mount Cook (Climbers monument of Mount Cook) เป็นอีกจุดนึงที่ถือเป็น Landmark ของที่นี่
โชคดีมาเกือบทั้งทริป จนมาถึงวันนี้แหล่ะ แต้มบุญท่าจะหมด ทางปิดตั้งแต่สะพานแรกเลย ไม่ให้ข้ามไปครับ ถึงแม้ด้านล่างจะพอลงไปได้ แต่ก็ไม่คุ้มท่าจะเดินข้ามไป ต้องลุยน้ำไปแน่ ๆ และสาเหตุที่รู้มาคือ มันอาจจะมีหินถล่มและไม่ปลอดภัยได้ครับ เค้าถึงปิด…เศร้ากันไป
ไหน ๆ แพลนที่จะเดินเข้าไปด้านในก็ล่มไปแล้ว ก็เลยลองสำรวจดู ในบริเวณนี้ก็มีเนินสวย ๆ ให้เราลองไปเล็งมุมถ่ายรูปอยู่เหมือนกัน
ตรงนี้มีชื่อเรียกว่า “Lake Müller Lookout” เป็นจุดก่อนที่จะเดินข้ามสะพานแรก
แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจเดินกลับมาตรงอนุสาวรีย์นักปีนเขา เพราะเป็นมุมที่เราเห็นยอดเขา Mount Cook ได้ชัดกว่า ถึงแม้จะห่างไกลจากจุดที่เราตั้งใจจะไป แต่ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยว เราได้ความประทับใจ และช่วงเวลาดี ๆ มากมายในวันนี้
และพอหมดแสงสุดท้าย พวกเราก็กลับไปเอารถเพื่อไปทำการ Check-in ที่โรงแรมที่เราจองเอาไว้ The Hermitage Hotel (รายละเอียดที่พัก ไปอ่านได้ที่นี่ รีวิว 9 ที่พักในทริปนิวซีแลนด์เกาะใต้ 13 วัน) จริง ๆ แล้ว สำหรับที่นี่ ก็สามารถออกไปถ่ายรูปตอนกลางคืนได้สวยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่า สะบักสะบอมกันพอสมควรแล้ว วันนี้ได้นอนโรงแรมทั้งที ก็ขอนอนสบาย ๆ สักคืนก็แล้วกัน (เอาไว้จัดเต็มทริปซ่อม Hooker Valley ก็แล้วกัน)
ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ การเดินทางของเราก็เดินทางมาถึงช่วงท้าย ๆ แล้ว ยังไงก็อยากจะฝากทุกคนติดตามและเตรียมพบกับ “รีวิว 13 วัน Road trip เกาะใต้นิวซีแลนด์” วันต่อไปในรีวิวหน้าครับ