เวลาที่เราไปเที่ยว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่อง “ของกิน”… แต่บางทีเราก็ลืมวางแผนไว้เหมือนกัน (มั่วแต่ไปเน้นที่เที่ยว…เราก็เช่นกัน 55+) ในทริปฮอกไกโดที่ผ่านมา เราก็ได้ไปลองมาหลายร้านเหมือนกัน บางร้านเป็นร้านที่ขึ้นชื่อ บางร้านเราก็หาข้อมูลกันสด ๆ ว่าในย่านที่เราไป มีอะไรให้กินบ้าง และเพื่อไม่ให้เป็นการยากในการที่จะไป เราจะใส่พิกัดของ Google Map ให้ไปหากันได้ง่าย ๆ ด้วย….พร้อมแล้วก็ตามมากันเลย
เมืองซัปโปโร – Sapporo
ข้าวหน้าหมูย่างซัปโปโร โทคาจิ อิปปิน
Tokachi Butadon Ippin Sapporo Kitajuujou
เมือง : ซัปโปโร (Sapporo)
ชั้น 6 ห้าง Stellar Place Sapporo สถานี JR Sapporo
[เวลาทำการ] 11: 00 ~ 23: 00 (คำสั่งซื้อสุดท้าย / 22: 30)
Google map : https://goo.gl/maps/QwPqcEC4ZvD2
ข้าวหน้าหมูย่าง สุดอร่อยแห่งซัปโปโร ที่มีอยู่หลายสาขา แต่ที่เราได้มาลองกิน คือสาขาที่อยู่บนห้าง Stellar Place ที่ชั้นที่ 6 เป็นร้านนึงที่ค่อนข้างเป็นที่นิยม เพราะตั้งแต่วันที่ได้ไปกิน เดินผ่านทีไรก็มีคนนั่งรอต่อคิวทุกที และน่าจะเพราะด้านในมีโต๊ะไม่มากประมาณ 5-6 โต๊ะ ที่ด้านหน้าจะเป็นครัวแบบเปิด เรียกว่าโชว์ย่างหมูให้ดูกันเลย
ข้าวหน้าหมูย่างที่นี่จะมีขนาดแตกต่างกันตามขนาดของถ้วยข้าวตั้งแต่เล็กกลางใหญ่ และจำนวนชิ้นของหมูตั้งแต่ 1 – 3 ชิ้น สนนราคาก็ตั้งแต่ประมาณ 600 เยน ไปจนถึงประมาณ 1,200 เยน ไม่รวม option เสริมอย่างซุป (ในรูปไม่ได้โป๊ะหมูที่ข้าวมา เพราะน่าจะสั่งพร้อมซุป เลยได้พิเศษหน่อย)
สำหรับร้านนี้เรา Recommend ให้ได้มาลอง เป็นมื้อที่คุ้มค่ามาก อร่อยและอิ่มแบบไม่ต้องไปหาอะไรกินต่อเลย และสำหรับร้านนี้ไม่ได้มีแค่สาขานี้เท่านั้น ยังมีอีกหลายสาขาทั่วเมืองซัปโปโรเลย ดูสาขาทั้งหมดได้ที่นี่ สาขาของร้าน ข้าวหน้าหมูย่างซัปโปโร โทคาจิ อิปปิน
ข้าวหน้าหมูย่างโอบิฮิโระ ซัปโปโร
Obihiro pork bowl Porco Sapporo
เมือง : ซัปโปโร (Sapporo)
อยู่ในบริเวณของตลาดนิโจ ตลาดขายอาหารทะเลในกลางเมืองซัปโปโร
[เวลาทำการ] กลางวัน 11:00 ~ 15:00 / กลางคืน 18:00 ~ 23:00
[วันหยุด] อังคารที่ 1 และ 3 ของเดือน
Google map : https://goo.gl/maps/qYn7Ajx9sVz
ไหน ๆ ก็พูดถึงข้าวหน้าหมูย่างแล้ว ก็จัดไปอีกร้านติดกันเลยแล้วกัน ร้านนี้เป็นร้านที่เราหาข้อมูลเจอตอนที่ไม่ได้มีแพลนว่าจะกินอะไรดี แต่กลายเป็นร้านที่เราชอบเลย และพอมาหาข้อมูลอีกที ร้านนี้กลายเป็นร้านที่ติด 1 ใน 10 ร้านอาหารใกล้ ๆ ตลาดนิโจอีกด้วย ร้านนี้ดูภายนอกดูไม่เหมือนร้านอาหาร เหมือนบาร์ซะมากกว่า ยิ่งตอนเช้าที่เราผ่าน เราดูไม่ออกเลย
เข้ามาด้านในก็มีโต๊ะอยู่ประมาณ 3 โต๊ะแบบ 4 คน และบาร์แบบนั่งเดี่ยว สำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว เป็นร้านเล็ก ๆ ขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้คับแคบ แต่อาจจะไม่เหมาะถ้ามีสัมภาระมาเยอะ
มาดูเมนูกันบ้าง เห็นเมนูแล้วแอบยิ้ม มีภาษาไทยด้วย สบายละทีนี้ แต่เมนูเองก็ไม่ได้ยุ่งยากนะ ดูง่ายดี มีข้าวหน้าหมูย่างอยู่ 3 แบบ หมูย่างเกลือแบบโอบิฮิโระ, หมูย่างเกลือแบบฮาโกดาเตะ และหมูย่างซอสมิโซะแบบซัปโปโร ราคาก็ตามขนาดไซส์ของถ้วยข้าว (เหมือนกัน)
มากัน 2 คน จะสั่ง 3 ถ้วยก็พาลจะจุกเปล่า ๆ ก็เลยเลือกมา 2 แบบคือแบบฮาโกดาเตะกับโอบิฮิโระ
จากการที่ได้ลองข้าวหน้าหมูย่างของร้านนี้แล้ว สรุปว่า อร่อย ไม่เป็นรองร้าน Tokachi Butadon เลย แต่ร้านนี้มีให้ลองหลายแบบกว่า และคิวไม่เยอะ แต่อาจจะไม่สะดุดตาเท่าไหร่ เพราะคนที่มาแถวนี้ก็มักจะกินอาหารทะเลกัน แต่มันเหมือนกับ Hidden Gem ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางร้านอร่อยรอบ ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงอยู่ในลิสต์ของร้านอาหารใน Tripadvisor ข้อมูลร้านเพิ่มเติมดูได้ที่นี่ เว็บไซต์ของร้านหมูย่าง Porco Sapporo
ชาบูบุฟเฟ่ต์ อะกูร่า ทานูกิโคจิ
Agura Shabu buffet / Tanukikoji
เมือง : ซัปโปโร (Sapporo)
อยู่ในบริเวณถนนช้อปปิ้ง ทานูกิโคจิ block ที่ 2
[เวลาทำการ] จันทร์~เสาร์ 17:00~22:00 (สั่งได้ถึง 21:30)
วันอาทิตย์ – วันหยุดพิเศษ 17:00~21:30 (สั่งได้ถึง 21:00)
[เวลาเปิด-ปิดช่วงปีใหม่]
12/31 – 17:00~20:00 (สั่งได้ถึง 19:30)
ปี 2019
1/1 – 17:00~21:00 (สั่งได้ถึง 20:30)
1/2 – 17:00~21:00 (สั่งได้ถึง 20:30)
1/3 – 17:00~20:00 (สั่งได้ถึง 19:30)
Google map : https://goo.gl/maps/BMW7SR48FCo
เมนูฮิตของฮอกไกโด ก็คงไม่พ้นพวกหม้อไฟหรือปิ้งย่าง ซึ่งที่ร้านนี้มีให้เลือก 2 อย่างเลย แต่ที่เราเลือกชาบู ก็เพราะว่าทางคุณแฟนไม่อยากลองเนื้อแกะ ประมาณว่าแพ้กลิ่น และอยากกินอะไรร้อน ๆ ก็เลยมาลงตัวที่ชาบู ร้านนี้เป็นร้านที่เรียกว่า เดินมาเจอตอนมาเดินซื้อของที่ย่าน ทานูกิโคจิ ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน เราแค่คิดว่า ย่านนี้มันต้องมีร้านอย่างที่เราต้องการแหล่ะ แล้วก็ไม่ผิดหวัง
หน้าร้านตกแต่งได้เก๋ดี สังเกตได้ง่าย มีนาฬิกาเรือนใหญ่อยู่หน้าร้าน โดยถ้ามองผ่าน ๆ จะเห็นได้ว่า มีขายอาหารหลายประเภทเลย
เข้ามาด้านในจะมีพนักงานต้อนรับ คอยถามลูกค้าก่อนว่าต้องการจะกินเป็นอะไร ร้านชาบูจะอยู่ที่ชั้น 3 ส่วนร้านปิ้งย่างจะอยู่ที่ชั้น 4 ตัวร้านตกแต่งเป็นแบบญี่ปุ่น โดยลูกค้าจะต้องฝากรองเท้าไว้ที่ด้านหน้าก่อน โต๊ะภายในร้านจะเป็นที่นั่งแบบหลุมบนเสื่อทาทามิ นั่งกินแบบสบาย ๆ มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ช้อปปิ้งมาเต็ม 2 มือ ก็วางของได้สบาย ๆ แต่ละโต๊ะนั่งห่างกันพอสมควร ไม่อึดอัด
บุฟเฟ่ต์มีเวลา 90 นาที โดยที่มีราคาแตกต่างกันในแต่ละประเภท มีให้เลือกเป็น หมู, เนื้อวัว, เนื้อแกะ หรือใครจะกินแบบผสม ๆ กันก็มีเรทให้เลือกได้ จะมีราคาที่เป็นแต่อาหารอย่างเดียว หรือจะแบบพ่วงเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอลด้วย (น่าจะเป็นเบียร์แหล่ะนะ) และมีออพชั่นเสริมเป็นการเลือกน้ำซุป ถ้าอยากได้เป็นซุปกระดูกหมู หรือซุปเผ็ด ก็เพิ่มอีก 300 เยน (ไม่แน่ใจว่าแบ่งครึ่ง ๆ ได้มั้ย ดูจากราคาแล้ว ไม่น่าจะได้)
ชุดแรกจะมาพร้อมกับผัก 1 ชุด จะเสิร์ฟมาเป็นถาด ๆ หมดก็เรียกพนักงานมารับออเดอร์ใหม่ เนื้อหมู-เนื้อวัวสไลด์ คุณภาพดี สไลด์บางกำลังดี ลวกแป็บเดียวสุกแล้ว กินได้เรื่อย ๆ เรา 2 คนน่าจะรวม ๆ ได้ 10 กว่าถาด หนาว ๆ แบบนี้ชาบูแบบนี้เหมาะที่สุดแล้ว
อันนี้เป็นเมนูของปิ้งย่างกะทะร้อนเจงกิสข่าน ซึ่งเป็นแบบบุฟเฟ่ต์เหมือนกัน ลักษณะไม่แตกต่างกันมาก ส่วนใหญ่ราคาจะเป็นแบบรวมหรือไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล
ถือว่าร้านนี้เป็นร้านตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะกับการมากินกันเป็นหมู่คณะ อยู่ในย่านดังที่ใคร ๆ มาซัปโปโร ต้องมาอยู่แล้ว หาได้ไม่ยากเลย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านได้จากที่นี่ได้เลย ข้อมูลร้าน Agura ชาบูบุฟเฟ่ต์ ทานูกิโคจิ
ข้าวหมูทอดทงคัทสึ วาโกะ ซัปโปโร
Tonkatsu Wako Sapporo
เมือง : ซัปโปโร (Sapporo)
ชั้น B1 ฝั่ง ห้าง Paseo (ในฮอกไกโดมี 6 สาขา)
[เวลาทำการ] 11:00~22:00 (สั่งได้ถึง 21:15)
Google map : https://goo.gl/maps/cKhdyrWPxyB2
ข้าวหมูทอดทงคัตสึ ชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น แต่ก่อนไปกิน เราไม่รู้จักร้านนี้เลย ชื่อภาษาอังกฤษก็ไม่มี เจอแบบงง ๆ ตอนที่เดินช้อปปิ้งในโซนชั้นใต้ดินเห็นหน้าร้านกับราคาแล้วน่าลองดี
รอคิวด้านนอกไม่นาน พนักงานก็พาเข้ามานั่งที่โต๊ะ บรรยากาศภายในร้าน ค่อนข้างกว้าง นั่งสบาย ไม่อึดอัด มากับกลุ่มเพื่อนก็นั่งได้สบาย ๆ
จากการที่เราคุ้นเคยกับข้าวหน้าหมูทอดที่เคยกินในไทย ก็คิดว่า ก็คงจะพออิ่มแหล่ะ แต่พอมาเสิร์ฟกลายเป็นผิดคาด มาแบบชุดใหญ่เลย ขอแนะนำว่า สำหรับใครที่กินได้ไม่เยอะ อาจจะสั่งเป็นชิ้น ๆ แทนก็ได้นะครับ เพราะชุดนึงก็กินอิ่มไปถึงเย็นเลย เนื้อหมูนุ่มอร่อย ถูกใจมาก
ร้านนี้แนะนำสำหรับใครที่อยากหามื้อง่าย ๆ แต่อร่อย แบบมื้อนึงอิ่มยาว ๆ ครับ รับรองไม่ผิดหวัง ตอนแรกกะจะสั่งหมูทอดแบบเป็นชิ้น ๆ มาเพิ่มในตอนแรก แต่ยั้งใจไว้นิดนึงและโชคดีที่ไม่ได้สั่งมา ไม่งั้นจุกแย่ และสำหรับใครที่อาจจะไม่ได้สะดวกที่สาขานี้ ก็ไปดูที่สาขาอื่นได้ครับ ในฮอกไกโดมีทั้งหมด 6 สาขา ชั้นบน Stellar place ก็มี (ในภูมิภาค Kanto มีตั้งเกือบ 200 สาขาแหน่ะ…ทำไมเราไม่รู้) สาขาของร้าน Tokansu Wako ในฮอกไกโด
ร้านปิ้งย่างบุฟเฟ่ต์ กิวคาคุ
Gyu-Kaku Japanese BBQ
เมือง : ซัปโปโร (Sapporo)
ชั้น 6 ห้าง Stellar Place Sapporo สถานี JR Sapporo
[เวลาทำการ] 11:00~23:00 (อาหารสั่งได้ถึง 22:10, เครื่องดื่ม 22:20)
Google map : https://goo.gl/maps/VuVTDY3ZSjr
ร้านปิ้งย่าง บุฟเฟ่ต์ Gyu-Kaku ที่มีมาเปิดในไทยอยู่บ้างแล้ว พอจะมีให้เห็นบ้าง ร้านนี้เราเล็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ได้มากินข้าวหน้าหมูย่าง ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว ที่ Sapporo มีสาขาเยอะมาก อยู่ทุกมุมเมืองเลยด้วยซ้ำ แต่ที่นี่สะดวกหน่อย เพราะอยู่ในห้าง หาไม่ยาก
วิธีการก็คือเดินเข้าไปถามคิวกับพนักงานว่าเหลืออีกกี่คิว ได้โต๊ะประมาณกี่โมง แต่จะวัดจากคนที่มานั่งรอไม่ได้นะ เพราะว่าตอนเรานั่งรอ พนักงานบอกว่า ตรงนี้สำหรับคนที่จะได้คิวต่อไปเท่านั้น….ติสต์มั้ยหล่ะ
พอได้โต๊ะ พนักงานก็พาเราเข้าไปด้านใน มีทั้งแบบนั่งโต๊ะ แบบบาร์ หรือแบบโต๊ะหลุม (เราได้แบบนี้) ตัวร้านขนาดไม่ใหญ่มาก แต่จุคนได้เยอะ แต่ไม่แนะนำเท่าไหร่ สำหรับคนที่มีสัมภาระมาเยอะ อย่างพวกถุงช้อปปิ้ง เพราะอาจจะวางลำบากหน่อย
เป็นบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างในเวลา 90 นาที มีให้เลือก 3 เรท 2,980 เยน (เลือกได้ 80 อย่าง), 3,480 เยน (เลือกได้ 100 อย่าง), 4,380 เยน (เลือกได้ 120 อย่าง) พอเลือกได้แล้ว พนักงานก็จะให้สั่งชุดแรกก่อนว่าจะเลือกอะไรบ้าง อาหารก็จะมาแบบรวม ๆ มาในถาดนึง แล้วในชุดต่อ ๆ ไปจะมาแบบถาดเล็ก ๆ แยกแต่ละอย่าง อ่อ ของแกล้มที่มาพร้อมกับชุดแรก จะเป็นผักกะหล่ำโรยน้ำมัน กินได้เพลิน ๆ ดี เอาไปย่างก็อร่อย
เตาย่างเป็นแบบเตาเล็ก ๆ แต่ไฟแรง แนะนำให้สั่งชีสมาย่าง เอาไว้จิ้มกับเนื้อครับ อร่อยดี แต่สำหรับเนื้อชิ้นใหญ่ อาจจะดูน่ากิน แต่ตอนย่างจะลำบากหน่อย เพราะย่างทีต้องเคลียร์เตาให้ว่าง แล้วก็ใช้เวลาย่างนานหน่อย อาจจะทำให้ไม่ต่อเนื่อง ย่างให้เกือบสุกแล้วใช้กรรไกที่เค้าให้มาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ จะย่างได้ง่ายขึ้น
ร้านนี้ถือเป็นร้านที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ตั้งแต่แรก แต่ก็ถือเป็นมื้อที่ใช้ได้อยู่เหมือนกัน วัตถุดิบสด อร่อย มีให้เลือกเยอะ ติดตรงร้านดูเล็กไปหน่อย ทำให้อึดอัดนิดนึงตอนที่นั่งทาน ถือเป็นร้านตัวเลือกอีกร้านนึงสำหรับร้านปิ้งย่างครับ ข้อมูลเพิ่มเติมของร้าน Gyu-Kaku ชั้น 6 Stellar Place
เมืองฮาโกดาเตะ – Hakodate
ร้านข้าวหน้าทะเล ฮาโกดาเตะ คิคุโย
Kikuyo Shokudo Honten
เมือง : ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
ตั้งอยู่ในตลาดอาหารทะเลเช้า ฮาโกดาเตะ
[เวลาทำการ] 5:00~14:00 (ในช่วงเดือน ธ.ค. – เม.ย. 6:00~13:30 )
Google map : https://goo.gl/maps/CjaRdDNv5zF2
ถ้าพูดถึงฮาโกดาเตะ จะไม่พูดถึงอาหารทะเลสด ๆ คงไม่ได้ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลสด ๆ และอร่อย ร้านค้ามีอยู่หลากหลายร้านให้เลือก แต่สำหรับร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 ตัวร้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก เป็นโต๊ะแถวลึกเข้าไปด้านใน แต่มีอีกสาขาที่อยู่ตรงบริเวณ Bay Area ตรงนั้นจะเป็นร้านใหญ่จะเป็นช้ากว่า
ร้านนี้จะโดดเด่นเรื่องข้าวหน้าทะเล แบบแบ่งเป็นหลากหลายหน้า มากสุดคือ 4 หน้า โป๊ะบนถ้วยข้าวญี่ปุ่นร้อน ๆ ราคาก็แตกต่างกันไปตามประเภทของทะเลที่เอามาโป๊ะ ของเราขอเลือกเป็นแบบ 3 กับ 4 หน้า เพื่อเอามาลองชิม และวัดขนาดให้ดูในแต่ละหน้า ซึ่งดูแล้วก็ไม่แตกต่างกันมาก ก็อยู่ที่ว่าใครอยากกินอันไหนมากอันไหนน้อยเท่านั้นแหล่ะ
ขนาดของถ้วยไม่ใหญ่มาก แต่โป๊ะอาหารทะเลมาแบบพอดีกับข้าวเลย อาหารทะเลสดอร่อยมาก เราสั่งกุ้งหวานมาเป็นจานกลางเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง กุ้งเนื้อเด้งและสดมาก ถ้าใครชอบเมนูนี้ อยากแนะนำให้ลองครับ มันดีมาก ๆ
และด้วยความที่คุณแฟนเป็นคนชอบไข่หอยเม่นมาก ๆ พอได้ทานก็ชอบมากจนสุดท้าย ต้องขอสั่งมาเพิ่มเป็นจานแยก สนนราคาก็มีตั้งแต่ 2,500 – 3,500 เยน แล้วแต่วันนั้นได้ไข่หอยเม่นแบบไหนมา ซึ่งขนาดผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบทาน เพราะไม่ชอบกลิ่นคาวของมัน ก็ยังชอบเลย ไข่หอยเม่นที่นี่สดอร่อยมาก กลิ่นคาวบางมาก ใครชอบอย่างแฟนผมขอให้จัดครับ เพราะเทียบราคาแล้วยังไงก็ถูกกว่าที่ไทยมาก กับไข่หอยเม่นเกรดดีแบบนี้
สำหรับร้านนี้ ไม่อยากให้พลาดครับ สด อร่อยมากจริง ๆ ถ้าใครชอบกินข้าวหน้าทะเลแบบนี้ และเจอของสด ๆ แบบนี้ พลาดไปหล่ะเสียใจแย่ เสียดายอยู่ที่เราไม่มีโอกาสได้ไปซ้ำ เพราะเช้าอีกวันเราก็จัดหนักกับเมนูอื่นไป เข้าไปอ่านประวัติความเป็นมากับเมนูอื่น ๆ ได้ที่เว็บไซต์ของร้านนี้ได้เลยครับ ในฟังกชั่นแปลภาษากดอ่านกันได้เลย เว็บไซต์ร้านอาหารหน้าทะเล Hakodate Kikuyo
ร้านเบอร์เกอร์ ลัคกี้ พิเอโร่ แห่งฮาโกดาเตะ
Lucky Pierrot Burger, Hakodate
เมือง : ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
กระจายอยู่ทั่วเมืองฮาโกดาเตะกว่า 17 สาขา สัญลักษณ์หน้าร้านเป็นรูปตัวตลก
[เวลาทำการ] จันทร์-ศุกร์ และ อาทิตย์กับวันหยุดทั่วไป 10:00~24:30, วันเสาร์ 10:00~1:30
Google map สาขา Bay Area : https://goo.gl/maps/Bd2eSRS1RZ72
ร้านนี้มีหลายสาขา แต่ขายอยู่เมืองเดียว ไม่มีขายที่เมืองอื่น…..อินดี้ชะมัด ร้านเบอร์เกอร์ ที่ตกแต่งหน้าร้านเหมือนสวนสนุก สัญลักษณ์เป็นตัวตลกในคณะละครสัตว์เป็น mascot (Pierrot อ่านว่า พิ-เอ-โร่ เป็นชื่อเรียกนักแสดงละครใบ้ที่เป็นคนหน้าขาว) เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ขายเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ อร่อย แต่ราคาไม่แพง มีอยู่ 17 สาขา ทั่วเมืองฮาโกดาเตะ
บรรยากาศด้านในร้านดูน่ารัก เคาน์เตอร์สั่งอาหารมีเมนูให้สั่งแบบเห็นง่ายดี ไม่ต้องกลัวว่าจะอ่านไม่ออก จิ้ม ๆ เลือกได้เลย บรรยากาศด้านในร้าน ตกแต่งได้อารมณ์เหมือนละครสัตว์ในสมัยก่อน คลาสสิคดี
เราสามารถสั่งแต่เบอร์เกอร์อย่างเดียว หรือจะเป็นเซ็ทพร้อมเครื่องดื่มกับมันฝรั่งทอดก็ได้ ในรูปคือชาอู่หลงเย็นกับมันฝรั่งทอดราดชีส ขนาดของตัวเบอร์เกอร์จัดว่าชิ้นใหญ่เลยทีเดียว (เทียบกับมือผม ซึ่งก็ว่าใหญ่แล้วนะ)
เบอร์เกอร์ที่เราสั่ง ก็ต้องไม่พลาดที่จะลองสั่งเมนูยอดนิยม No. 1 ของเค้า Chinese Chicken Burger แปลตรงตัวว่าเบอร์เกอร์ไก่จีน แต่จริง ๆ มันคือเบอร์เกอร์ไก่กรอบ ไก่กรอบชิ้นใหญ่ ยัดเป็นไส้ด้านในกับผักสดกรอบ เข้าใจเลยว่าทำไมเป็นเมนูฮิต เนื้อไก่ชิ้นใหญ่แต่นุ่ม ราคาต่อชิ้นที่ไม่ใช่เซ็ท คือ 350 เยน
อีกชิ้นเราเลือกเป็นเมนูอันดับที่ 4 Lucky Cheese Burger เป็นเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกัน คล้าย ๆ กับที่เรากินที่ Mos Burger แต่ชิ้นใหญ่กว่าเยอะ โดยส่วนตัวผมชอบชิ้นนี้มากกว่า เพราะชอบชีส แต่คำท้าย ๆ จะทุลักทุเลหน่อยเพราะ ไส้ทะลัก ลงไปกองอยู่ในห่อ ชิ้นนี้ราคา 390 เยน
ร้านนี้เป็นร้านที่ห้ามพลาดอีกร้านนึง ถ้ามีโอกาสได้มาที่ ฮาโกดาเตะนี้ หากินง่าย เดิน ๆ ไปเดี๋ยวก็เจอ ราคาไม่แพง ถ้าเทียบกับมื้ออื่น ๆ ที่เรากิน ข้อมูลเพิ่มเติมอ่านต่อได้ที่เว็บของร้านได้ที่นี่ เว็บไซด์ร้าน Lucky Pierrot ของเมืองฮาโกดาเตะ
โรงเบียร์ฮาโกดาเตะ
Hakodate BeerHall
เมือง : ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
อยู่ตรงบริเวณ Bay Area หรือที่เรียกกันว่าโกดังแดง
[เวลาทำการ] จันทร์-ศุกร์ 11:30~22:00, วันเสาร์ – อาทิตย์ เปิด 11:00 (สั่งอาหารได้ถึง 21:30)
Google map : https://goo.gl/maps/sJihuuZ4itj
ที่นี่ตั้งอยู่ในย่าน Kanemori Red Brick Warehouse หรือที่เรียกกันว่า Bay Area เป็นโกดังเก็บของเก่าที่บูรณะใหม่เป็นย่านร้านค้าและร้านอาหารรวมกว่า 50 ร้าน บรรยากาศด้านใน ตกแต่งเหมือนโรงเบียร์สมัยก่อน เป็นอาคารไม้ มีทั้งโต๊ะและบาร์ติดเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม
อาหารโดยทั่วไปถ้าไม่เป็นแบบจานใหญ่ไปเลย ก็เป็นประเภทกลับแกล้ม อย่างพวกไส้กรอกย่าง แต่ด้วยความที่เรายังอิ่มกับมื้อก่อนหน้านี้ (เบอร์เกอร์นั่นแหล่ะ) เราก็เลยสั่งไม่เยอะ มานั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบ ๆ มากกว่า ก็เลยจัดมาแค่ 2 จานเบา ๆ พอ
สำหรับย่านนี้ เป็นย่านที่ครึกครื้นที่สุดในยามค่ำคืนแล้ว (ย่านอื่นเค้าปิดร้านกันหมด) เป็นย่านที่คนมาช้อปปิ้งกันด้วย ก็มีร้านอาหารอื่นให้เลือกอีกหลายร้าน ติดตรงที่เราเองไม่มีเวลาพอจะเดินสำรวจในแต่ละร้าน ที่ร้านนี้บริการรับจองโต๊ะ มันจะมีอยู่ 1-2 โต๊ะที่ติดกับหน้าต่างของร้าน ทำให้มองเห็นบรรยากาศด้านนอก เวลาที่หิมะตก มันก็จะสวยไปอีกแบบ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูที่เว็บของที่นี่ได้ เว็บไซต์ของโรงเบียร์ฮาโกดาเตะ Hakodate BeerHall
เมืองโอตารุ – OTARU
ชีสเค้ก เลอทาโอะ
LeTAO Cheesecake
เมือง : โอตารุ (Otaru)
LeTAO PATHOS สาขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในจำนวนทั้งหมด 6 สาขาที่โอตารุ
[เวลาทำการ] 9:00~18:00 (ในส่วน Cafe จะปิดก่อนเวลาทำการ 30 นาที)
Google map : https://goo.gl/maps/Z6puzFBiZhv
ชีสเค้กชื่อดัง ที่ใครได้มาที่นี่ ถ้าไม่ได้แวะชิม เรียกว่ามาไม่ถึง (สำหรับคนชอบชีสเค้กนะ) ที่เมืองนี้เมืองเดียว มีทั้งหมด 6 ร้าน แต่ละร้านก็ไม่เหมือนกัน บ้างร้านขายแต่ chocolate บางร้านก็จะมีแต่เบอเกอรี่ ร้านหลัก ๆ จะมีอยู่ 2 ร้าน คือร้านตรงหัวมุมที่อยู่ตรง พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี กับที่ร้านนี้ เป็นตึกที่มีชื่อเรียกว่า LeTAO PATHOS เป็นร้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ภายในเป็นร้าน 2 ชั้น แต่ส่วนที่ใช้งานจริง ๆ จะอยู่ที่ชั้นล่าง เป็น Cafe กับส่วนที่ขายของฝาก ธรรมดาแล้วเราจะคุ้นกับ ชีสเค้กของที่นี่ แต่จริง ๆ แล้ว ขนมเค้กเค้ามีหลายแบบเลยครับ ถ้าไปกันหลาย ๆ คนก็น่าจะลองสั่งกันคนละแบบมาเทส (เราไปกันแค่ 2 คน ชิ้นเดียวก็อิ่มแล้ว)
แนะนำให้มานั่งกิน Fromage Double Cheesecake ที่เป็นชีสเค้กที่ขึ้นชื่อ กับโกโก้ร้อนสักแก้ว เดินมาหนาว ๆ นี่ช่วยได้เยอะเลย
ความน่ารักอีกอย่างของร้านค้าในญี่ปุ่น (เกือบทุกร้าน) เค้าจะมีถุงคลุมถุงของฝากเราอีกทีเพื่อกันหิมะ หรือละอองฝนกระเด็นเปียกเข้าไปในถุงของเรา เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่ารักจริง ๆ
สำหรับที่โอตารุนี่ ขนมมีให้เลือกซื้อ เลือกชิมหลายร้านมาก แต่ร้านนี้ถือเป็นร้านที่คนไทยชื่นชอบ ซึ่งก็มีหลายร้านให้ได้ไปเลือกชิมเลือกช้อปกันได้สบาย ๆ แนะนำให้ลองไปชิมดูครับ ร้านก็จะอยู่ในถนนเส้นนี้แหล่ะ ไม่ห่างกันมาก เผื่อจะได้ขนมที่ถูกใจ มากกว่าแค่ Cheesecake ส่วนข้อมูลของแต่ละร้าน ก็ดูได้จากที่นี่เลย ข้อมูลสาขาของร้านขนม LeTAO
Tips & Trick : สำหรับใครที่อยากเอาเจ้า Fromage Double Cheesecake กลับบ้านมาเป็นของฝาก แนะนำให้ไปซื้อที่สนามบินจะดีกว่าครับ เพราะมันต้องอยู่ในที่เย็น ๆ ซึ่งก็มีเงื่อนไขเหมือนกันครับ ถ้าบินตรงกลับเมืองไทยเลย ก็ไม่น่ามีปัญหา เค้าจะมีถุงเก็บความเย็นให้ใส่ (ไม่แน่ใจว่าต้องซื้อกี่ชิ้นขึ้นไป) แต่ถ้าต้องไปต่อเครื่อง เป็นระยะเวลาเกิน 6 ชม. อันนี้อาจจะมีปัญหาหน่อยครับ เพราะต่อให้มีถุงเก็บความเย็นก็อาจจะเอาไม่อยู่ถ้านานเกินไป สำหรับคนที่ไปต่อเครื่องที่นาริตะ (อย่างผม) มีขายที่สนามบินนาริตะด้วยครับ แต่อาจจะต้องถามจากพนักงานอีกทีนึงว่าพิกัดอยู่ตรงไหน หาไม่ยากครับ แต่จำไม่ได้เท่านั้นเอง (ขออภัย)
ของกินที่ควรไปโดนที่ฮอกไกโด
สำหรับในส่วนนี้จะเป็นของกินที่มาถึงนี่ทั้งทีควรจะลองกินดูถ้ามีโอกาส และก็ไม่จำเป็นต้องระบุเป็นร้าน เห็นแล้วดูน่าสนใจก็จัดได้เลย
ปูยักษ์ทาราบะ – Taraba Crab
ปูยักษ์ที่เป็นของกินที่กลายเป็น 1 ในสัญลักษณ์ของฮอกไกโดไปแล้ว ปูตัวใหญ่ เปลือกบาง และกินเนื้อได้เกือบทั้งตัว ทำให้สนนราคาที่ไม่น้อยเลย เฉลี่ยราคาจะอยู่ที่กิโลละ 8,000 – 10,000 เยน และเวลาขายคือชั่งขายทั้งตัว ราคาจะเท่าไหร่ก็อยู่ที่ขนาดของตัวปูกันหล่ะ
อย่างตัวที่เราเลือกมานี้ ก็หนัก 2 กิโล กิโลละ 10,000 เยน ก็ตก 20,000 เยน คิดเป็นเงินไทยก็เกือบ 6,000 บาท ถามทางร้านว่ามีตัวที่เล็กกว่านี้มั้ย เค้าก็บอกมาว่า ที่ร้านก็ตัวประมาณนี้ทั้งร้านแหล่ะ ซึ่งมองไปมองมาแล้วก็จริง แอบชั่งใจอยู่พักนึง แล้วก็ตัดสินใจว่าจัดก็จัดไป เพราะเราก็เผื่องบไว้ตรงนี้แล้วเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ สุดท้ายเจ้าของร้านใจดีลดให้เรา 1,000 เยน เหลือ 19,000 เยน (ก็ยังดีอ่ะนะ)
ก่อนที่เค้าจะเอาไปปรุงให้ เค้าจะถามว่าจะต้มหรือย่างดี เราก็เลยขอแบบอย่างละครึ่ง เค้าก็บอกว่าโอเค เดี๋ยวจัดการให้ เราก็ตามไปดูว่าเค้าจะทำยังไง ผ่าครึ่งเลยมั้ย ตัวใหญ่ขนาดนี้ผ่ายังไง สรุปว่า เค้าเอาไปต้มทั้งตัวก่อนเลยจ้า แล้วค่อยตัดบางส่วนไปครึ่งนึง เพื่อเอาไปย่าง…..(จะถามเพื่ออะไรคุณพี่) และนี่คือปูยักษ์ที่ต้ม/ย่างเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟ ได้มา 2 จานใหญ่ ๆ
อุปกรณ์ก็มีแค่กรรไกไว้ตัดเปลือก กับจานพร้อมตะเกียบ ไม่มีน้ำจิ้มอะไรทั้งนั้นนะครับ โชยุก็ไม่มี ก็เอาหล่ะ ลองกินทั้งแบบนี้ดู พอได้กินเท่านั้นแหล่ะ รู้เลยว่าทำไมไม่มีน้ำจิ้ม เพราะเนื้อปูหวานมาก หวานเหมือนเนื้อปูสด และมีความเค็มของน้ำทะเลอยู่จาง ๆ อร่อยครับ และด้วยความที่มันสดนี่แหล่ะ เนื้อปูเลยแกะออกมาได้ง่ายมาก ตัดเปลือกออกแล้วดึงออกมาเลย
อยากจะบอกว่า เราสองคนว่ากินกันจุแล้วนะ แต่ปูตัวนี้ทำให้เราเกี่ยงกันในชิ้นท้าย ๆ เพราะกินกันแทบไม่ไหวเลย ถ้าได้อีกสักคนก็คือกำลังดี มื้อนี้เป็นมื้อที่เรียกว่าอิ่มยาวยันเย็นเลยทีเดียว แต่สำหรับใครที่ไม่สามารถจัดเป็นตัว ๆ แบบนี้ได้ จะลองเป็นแบบขา ๆ ไปก็มีให้เลือกนะครับ แต่จะไม่ใช่ปูเป็น ๆ แบบนี้ เป็นปูต้มแล้วฟรีซเอาไว้ แล้วเอามาอุ่นใหม่อีกทีนึง ซึ่งอันนี้ไม่ได้ลองเลยไม่รู้ว่าหวานสดขนาดไหน แต่ดูจากคุณภาพของที่นี่คิดว่าน่าจะใช้ได้อยู่
ไข่หอยเม่น – Sea Urchin Uni
ไข่หอยเม่นแบบแคะสด ๆ สำหรับใครที่ชื่นชอบ ไม่ควรพลาด เพราะความสดใหม่ แบบจับขึ้นมาจากทะเล แล้วทำให้กินแบบสด ๆ แบบนี้ ที่เมืองไทยคงไม่มี ถึงมีสด ๆ แบบนี้ก็จะแพงกว่าปกติ (จำได้ว่า ข้าวปั้นหน้าไข่หอยเม่นแบบดี ๆ ก็ตกคู่ละ 400 เข้าไปแล้ว) จะมีทั้งแบบที่แคะแล้วกองไว้เป็นกอง ๆ บนน้ำแข็ง ตามตลาดปลาทั่วไป แต่ถ้าใครเห็นแม่ค้ากำลังแคะแบบสด ๆ แบบนี้ อยากให้ลองจัดดูครับ รับประกันความสด
แม่ค้าจะใช้กรรไกรตัดผ่าตัวออกแบบครึ่งนึงให้เหลือฝาเอาไว้ แล้วแกะตัวเปลือกออกจะเห็นไข่หอยเม่นเกาะเป็นกลีบ ๆ ประมาณ 5 กลีบแบบนี้ แล้วแม่ค้าจะเอาไข่จากอีกตัวมาใส่เพิ่ม สนนราคาขายก็อยู่ที่ ฝาละ 1,000 เยน (ประมาณ 300 กว่าบาท) ดูแล้วจะได้อยู่ประมาณ 3 ตัว 2 ฝา และจากการที่ได้ลองชิมแล้ว แตกต่างกับแบบที่แกะแล้วฟรีซเอาไว้ขายมาก ไม่มีกลิ่นคาวเลย ถึงมีก็บางมาก ขนาดผมเป็นคนที่ไม่ชอบเพราะเรื่องกลิ่น ยังกินได้สบาย ๆ เลย (คุณแฟนชอบมาก เป็น Uni Lover เลย) ใครจะจัดมากหรือน้อย อยู่ที่ความอยากและกำลังทรัพย์ของแต่ละคนแล้วหล่ะครับ
เมลอนญี่ปุ่น – Japanese Melon
สำหรับใครที่เคยกินเมลอนญี่ปุ่นที่ไทย ที่หาซื้อได้ตามตลาด ให้ลืมรสชาติแบบนั้นไปได้เลย เพราะเมลอนที่นี่ หวานมาก หวานแบบหวานหอม ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้ายเลย ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมผลไม้ตัวนี้ถึงเป็นสัญลักษณ์ของภูมิภาคนี้ ซึ่งก็หาซื้อไม่ยากเลย ตามตลาดสดทั่วไปก็หาซื้อได้ และบางที่จะมีแบบผ่าให้กินแบบสด ๆ กันด้วย สนนราคาก็ลูกละ 4,000 เยน (ลูกละ 1,000 กว่าบาท….OMG) นับเป็นราคาที่ไม่เบาเลย แต่ถ้าลองได้กินแล้วติดใจ และถ้าไปกันหลายคน ก็คุ้มครับ เพราะมันหวานอร่อยจริง ๆ
และถ้าใครจัดแบบเป็นลูกไม่ได้ ก็จะจัดเป็นชิ้น ๆ ก็ได้ ราคาอยู่ที่ขนาดความหนาของแต่ละชิ้น ยืนซื้อจ่ายเงินและกินกันสด ๆ ตรงนั้นเลย
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้
คิดว่าคนที่กำลังหาร้านอาหารในทริปฮอกไกโด น่าจะชอบรีวิวนี้ ก็แอบเสียดายอยู่อย่างที่เราเอง ไม่มีเวลาไปเก็บให้ได้ตามลิสต์ที่เราได้ลงไว้ บางวันกินได้แค่ 2 มื้อเท่านั้น เพราะเราเน้นตะเวนเที่ยวซะมากกว่า บางวันรวบมื้อเช้ากับมื้อกลางวันไปด้วยเลย และอย่างบางเมนูที่เค้านิยมไปทานกันอย่าง บุฟเฟ่ต์ขาปู เราไม่มีให้อ่านเพราะ ข้อมูลร้านแบบนี้ น่าจะมีอยู่เยอะแล้ว และเราได้ลองไปกินมาแล้ว ตั้งแต่ที่ไปพักเรียวกังที่โนโบริเบ็ทสึ (เข้าไปอ่านดูได้ที่ ที่พักเน้นเดินทางสะดวกในทริป Hokkaido) บางวันกินข้าวเช้าที่โรงแรมเพราะต้องออกเดินทางเร็ว ไม่ทันร้านเปิดก็มี แต่คิดว่าข้อมูลที่บอกไป น่าจะเป็นประโยชน์ ไม่มากก็น้อยสำหรับทุกคนนะครับ